วิเคราะห์งบประมาณกระทรวงอุตสาหกรรมดร.เบญจวรรณ จันทระ
10 มิถุนายน 2553
ภาพรวม (ข้อมูลจากเอกสารงบประมาณฉบับที่ 3 เล่ม 9 หน้า 249-355)
งบประมาณเพิ่มขึ้นจาก 5,601.945 ล้านบาท เป็น 6,749.9634 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,148.018 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 20.49%
ประเด็นที่น่าสังเกต 1) การเบิกจ่ายงบประมาณปีที่ผ่านมาทั้งปี 2552 และ 2553 เบิกจ่ายจริงต่ำกว่าแผนในทุกหน่วยงาน แต่งบปี 2554 กลับมีการของบประมาณเพิ่มขึ้นอีกในทุกหน่วยงาน
ประเด็นที่น่าสังเกต 2) มีค่าใช้จ่ายในส่วนของการจ้างที่ปรึกษาและบุคลากรในแต่ละโครงการตั้งงบประมาณไว้สูงมาก เฉลี่ยแต่ละโครงการคิดเป็น 60% ของงบประมาณในแต่ละโครงการ การจ่ายค่าตอบแทนนี้ซ้ำซ้อนกับค่าจ้างบุคลากรประจำหรือไม่ หากเป็นคนละส่วนกัน ขอคำชี้แจงเรื่องการจ้างบุคลากรในแต่ละโครงการ และจำนวนบุคลากรประจำ
ประเด็นที่น่าสังเกต 3) ที่ผ่านมากระทรวงไม่มีผลงานอะไรในเชิงประจักษ์ที่ชัดเจนโดยดูได้จากการขาดประสิทธิภาพการบริหารงบประมาณโดยเฉพาะโครงการที่สนับสนุนในเชิงนโยบายและนำไปสู่การปฏิบัติงานให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศ และเพิ่มศักยภาพของอุตสาหกรรมไทย แต่กลับของงบประมาณเพิ่มเติม และส่วนใหญ่นำไปใช้ในโครงการต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาซึ่งโครงการเหล่านั้นไม่ประสบผลสำเร็จ แต่ก็ยังดำเนินการต่อ แสดงให้เห็นถึงความไม่มีประสิทธิภาพอย่างชัดเจน
สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม (ข้อมูลจากเอกสารงบประมาณฉบับที่ 3 เล่ม 9 หน้า 255)
ประเด็นที่น่าสังเกต 1) งบประมาณจาก 1,164.2724 ล้านบาท เป็น 1,435.451 ล้านบาท โดยเป็นงบดำเนินการเพิ่มจาก 44.247 ล้านบาท เป็น 102.0978 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 57.8508 ล้านบาท คิดเป็น 130.75% ในขณะที่ไม่ได้จ้างบุคลากรเพิ่ม
2) ในส่วนของงบลงทุนกลับเพิ่มขึ้น 100% เพราะปีที่แล้วไม่มี แต่ปี 2554 ตั้งงบไว้เพื่อนำไปซื้อครุภัณฑ์และปรับปรุงอาคาร ซึ่งมีราคาที่สูงเกินจริงเมื่อเทียบกับราคาตลาด
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (ข้อมูลจากเอกสารงบประมาณฉบับที่ 3 เล่ม 9 หน้า 281)
ประเด็นที่น่าสังเกต 1) งบประมาณจาก 964.7373 ล้านบาท เป็น 1,058.6264 ล้านบาท โดยเป็นงบรายจ่ายอื่น 605.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8 % โดยนำไปใช้จ่ายในโครงการต่างๆ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ปรึกษาสูงถึง 309.891 ล้านบาท คิดสัดส่วนเป็น 64.5% ของงบในส่วนนี้
ประเด็นที่น่าสังเกต 2) ข้อน่าสังเกตเกี่ยวกับการจ้างที่ปรึกษาในโครงการต่างๆ
- โครงการพัฒนาขีดความสามารถของไทยในการแข่งขันอุตสาหกรรมไทยด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ ใช้งบประมาณจ้างที่ปรึกษาสูงถึง 37.5 ล้านบาท (เอกสารชี้แจง หน้า 19)
- กิจกรรมการพัฒนาการรวมกลุ่มและเชื่อมโยงอุตสาหกรรม ใช้งบประมาณจ้างที่ปรึกษาสูงถึง 22.5 ล้านบาท (เอกสารชี้แจง หน้า 22) เพิ่มจากปี 2553 ถึง 67.66%
- โครงการพัฒนาศักยภาพวิสาหกิจ SMEs ในภาคอุตสาหกรรม ใช้งบประมาณจ้างที่ปรึกษาสูงจาก 63.705 ล้านบาท เป็น 110.85 ล้านบาท (เอกสารชี้แจง หน้า 32) เพิ่มจากปี 2553 ถึง 74% โดยมีการจ้างที่ปรึกษาในจำนวนที่สูงมากถึง 394 คน กับโครงการระยะเวลา 3 เดือน ไม่โปร่งใสอย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังมีการใช้งบประมาณเพื่อพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ในเรื่องดังกล่าวสูงถึง 11.625 ล้านบาท ซึ่งหากพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็ไม่ต้องเสียงบประมาณไปจ้างที่ปรึกษาที่สูงถึง 110.85 ล้านบาท
- กิจกรรมส่งเสริมนวัตกรรมอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ใช้งบประมาณจ้างที่ปรึกษาสูงจาก 13.59 ล้านบาท เป็น 22.5 ล้านบาท (เอกสารชี้แจง หน้า 35) และเมื่อดูวัตถุประสงค์แล้วซ้ำซ้อนกับ โครงการพัฒนาขีดความสามารถของไทยในการแข่งขันอุตสาหกรรมไทยด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ
- กิจกรรมการเสริมสร้างผู้ประกอบการรายใหม่ ใช้งบประมาณจ้างที่ปรึกษาสูงจาก 118.238 ล้านบาท เป็น 161.5 ล้านบาท (เอกสารชี้แจง หน้า 37) เพิ่มจากปี 2553 ถึง 36.59%
- กิจกรรมการให้บริการปัจจัยสนับสนุนการประกอบการ ใช้งบประมาณจ้างที่ปรึกษาสูงจาก 1.75 ล้านบาท เป็น 5.5 ล้านบาท (เอกสารชี้แจง หน้า 39) เพิ่มจากปี 2553 ถึง 214% ซึ่งเป็นโครงการซ้ำซ้อนกับกิจกรรมการเสริมสร้างผู้ประกอบการรายใหม่
ประเด็นที่น่าสังเกต 3) โครงการต่างๆเป็นโครงการต่อเนื่องทั้งหมด ซึ่งโครงการต่อเนื่องหมายถึง เป็นโครงการที่ได้รับอนุมัติเงินไปแล้ว แต่กลับมาขอซ้ำอีก หรือจริงๆแล้วเป็นโครงการระยะยาว โดยเบิกจ่ายตามภาระผูกพัน
กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (ข้อมูลจากเอกสารงบประมาณฉบับที่ 3 เล่ม 9 หน้า 295 และ เอกสารชี้แจงของหน่วยงาน)
งบประมาณจาก 305.3287 ล้านบาท เป็น 393.853 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.99%
ประเด็นที่น่าสังเกต 1) ในผลผลิตที่ 1(เอกสารงบประมาณฉบับที่ 3 เล่ม 9 หน้า 299 ข้อ 7.1.1 ) ในข้อ 2 เกี่ยวกับอุตสาหกรรมเหมืองแร่อุตสาหกรรมพื้นฐาน และภาคอุตสาหกรรมให้มีความสามารถในการผลิตและมีมูลค่าที่สูงขึ้น โดยมีเป้หมายเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 ทั้งปี 2553 และปี 2554 ใช้เป้าหมายเดียวกัน ในขณะที่ปี 2554 กลับของบเพิ่มขึ้น(เป้าหมายไม่ได้เพิ่มขึ้น) จาก 119.717 ล้านบาทเป็น 159.7749 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40.6049 ล้านบาท เพิ่ม 33%
ประเด็นที่น่าสังเกต 2) งบรายจ่ายอื่นเพิ่มขึ้นจาก 30.75 ล้านบาท เป็น 69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38.25 ล้านบาท เพิ่มถึง 124.39% เป็นรายจ่ายในโครงการต่างๆ สำหรับจ่ายค่าจ้างที่ปรึกษา สูงถึง 57.4 ล้านบาท เป็นสัดส่วนถึง 83% ของงบประมาณในส่วนนี้ นอกจากนี้ อัตราค่าจ้างที่ปรึกษาแต่ละโครงการต่อคนต่อเดือน ไม่เท่ากัน ในขณะที่ประสบการณ์เท่ากันและเป็นโครงการระดับเดียวกัน เช่นในตำแหน่งหัวหน้าโครงการบางโครงการจัดสรรให้เดือนละ 123,200 บาทต่อคน บางโครงการจัดสรรให้เดือนละ 70,400 บาทต่อคน
ประเด็นที่น่าสังเกต 3) เมื่อมีการจ้างที่ปรึกษาในโครงการต่างๆพร้อมจ้างบุคลากรในการดำเนินในโครงการต่างๆด้วย ดังนั้นงบประมาณในส่วนของงบดำเนินงานและค่าจ้างบุคลากรประจำของหน่วยงานซ้ำซ้อนกัน เปิดช่องให้เกิดการคอร์รัปชั่นอย่างมาก
ประเด็นที่น่าสังเกต 4) มีหลายโครงการที่ของบประมาณเพิ่มขึ้นจากปี 2553 เป็นเท่าตัว ในขณะที่ผลงานและผลสัมฤทธิ์จากปี 2553 ยังไม่ปรากฏ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงโครงการนั้นไม่มีประสิทธิภาพ แต่กลับยังของบประมาณต่อเนื่อง ทำให้สูญเสียงบประมาณไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพเช่นเดียวกัน
ประเด็นที่น่าสังเกต 5) มีบางโครงการที่มีวัตถุประสงค์เหมือนกันแต่แยกโครงการ เช่นโครงการเกี่ยวกับการพัฒนาการเชื่อมโยงโซ่อุปทานและปัจจัยพื้นฐานสำหรับภาคอุตสาหกรรมโดยปี 2553 งบประมาณอยู่ที่ 3 ล้านบาท แต่ปี 2554 ขอเพิ่มเป็น 31.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 956.67% ในขณะที่โครงการนี้ยังไม่มีผลสัมฤทธิ์ที่ชัดเจน แต่กลับของบประมาณเพิ่มขึ้นอย่างมาก อีกทั้งยังซ้ำซ้อนกับโครงการจัดทำระบบสารสนเทศโซ่อุปทานอุตสาหกรรมพื้นฐานรายสาขา ซึ่งของบใช้จ่ายถึง 24 ล้านบาท เพราะการทำโครงการแรก ก็จะได้ผลในโครงการที่สองอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องทำโครงการซ้ำซ้อนกัน
ประเด็นที่น่าสังเกต 6) ในผลผลิตของหน่วยงานเกี่ยวกับ ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหมืองแร่และอุตสาหกรรมพื้นฐานมีมาตรฐานด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม จากงบประมาณปี 2552 คือ 5.8 ล้านบาท ปี 2553 ปรับขึ้นเป็น 6.9 ล้านบาท และในปี 2554 ของบสูงถึง 21.35 ล้านบาท เพิ่มถึง 209.4% เมื่อเทียบกับปี 2553 ในขณะที่เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายเป็นสำคัญ ดังนั้นการของบประมาณที่สูงอย่างมากจึงไม่เหมาะสมกับภาระหน้าที่ที่รับผิดชอบ
สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (ข้อมูลจากเอกสารงบประมาณฉบับที่ 3 เล่ม 9 หน้า 307 และ เอกสารชี้แจงของหน่วยงาน)
งบประมาณจาก 373.8315 ล้านบาท เป็น 739.7138 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 365.8823 ล้านบาท เพิ่มขึ้นคิดเป็น 97.87% ซึ่งเป็นหน่วยงานเชิงนโยบาย ที่มีหน้าที่เสนอแนะ ชี้นำ และกำกับดูแลอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายให้เกิดความเป็นธรรม และแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประเด็นที่น่าสังเกต 1) งบประมาณปี 2552 คือ 389.33 ล้านบาท เบิกจ่ายจริง ณ 30 ก.ย. 2552 เท่ากับ 341.9862 ล้านบาท คิดเป็นเบิกจ่ายจริงเพียง 88.8% ส่วนงบประมาณปี 2553 คือ 373.83 ล้านบาท เบิกจ่ายจริง ณ 30 เม.ย. 2553 เท่ากับ 266.1403 ล้านบาท คิดเป็นเบิกจ่ายจริงเพียง 71.1927% นั่นแสดงให้เห็นถึงการไม่มีประสิทธิภาพอีกทั้งยังปรากฏผลสัมฤทธิ์ที่ชัดเจน แต่กลับจัดทำของบประมาณเพิ่มขึ้นในปี 2554 เพิ่มอีก 365.8823 ล้านบาท ซึ่งไม่สอดคล้องกับประสิทธิภาพในการเบิกจ่าย อีกทั้งยังบ่งบอกได้ถึงความไม่โปร่งใสในการของบประมาณอีกด้วย
ประเด็นที่น่าสังเกต 2) ในส่วนของงบภาระผูกพัน คือค่าใช้จ่ายในการเช่ายานพาหนะ ที่มีมูลค่าสูงถึง 22.8552 ล้านบาท หากจัดทำเป็นการซื้อเลยจะเสียค่าใช้จ่ายในระยะยาวต่ำกว่านี้มาก แสดงให้เห็นถึงการขาดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการที่ดี
ประเด็นที่น่าสังเกต 3) มีการจ้างที่ปรึกษาในโครงการต่างๆ เช่นเดียวกับหน่วยงานอื่นๆ พร้อมจ้างบุคลากรในการดำเนินในโครงการต่างๆด้วย ดังนั้นงบประมาณในส่วนของงบดำเนินงานและค่าจ้างบุคลากรประจำของหน่วยงานซ้ำซ้อนกัน เปิดช่องให้เกิดการคอร์รัปชั่นอย่างมาก
ประเด็นที่น่าสังเกต 4) มีบางโครงการที่มีวัตถุประสงค์เหมือนกันแต่แยกโครงการ เช่นโครงการการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย (ตามเอกสารชี้แจงหน้า 24) ที่มีงบประมาณถึง 42.6 ล้านบาท กับโครงการค่าใช้จ่ายในการสร้างองค์ความรู้และพัฒนาด้านอ้อย (ตามเอกสารชี้แจงหน้า 43) ที่มีงบประมาณถึง 21 ล้านบาทซึ่งมีวัตถุประสงค์เดียวกัน และได้ผลลัพธ์เดียวกัน
สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม (ข้อมูลจากเอกสารงบประมาณฉบับที่ 3 เล่ม 9 หน้า 321 และ เอกสารชี้แจงของหน่วยงาน)
งบประมาณจาก 605.1564 ล้านบาท เป็น 757.3296 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 152.1732 ล้านบาท เพิ่มขึ้นคิดเป็น 25.15% ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์และส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์
ประเด็นที่น่าสังเกต 1) งบประมาณปี 2552 คือ 675.6197 ล้านบาท เบิกจ่ายจริง ณ 30 ก.ย. 2552 เพียง 71.5% ส่วนงบประมาณปี 2553 คือ 605.1564 ล้านบาท เบิกจ่ายจริง ณ 30 เม.ย. 2553 เพียง 36.29% นั่นแสดงให้เห็นถึงการไม่มีประสิทธิภาพอีกทั้งยังปรากฏผลสัมฤทธิ์ที่ชัดเจน และเหลือเวลาสิ้นสุดงบประมาณอีกเพียง 4 เดือน ซึ่งเบิกจ่ายไม่ทันอย่างแน่นอน แต่กลับจัดทำของบประมาณเพิ่มขึ้นในปี 2554 เพิ่มอีก 25.15% ซึ่งไม่สอดคล้องกับประสิทธิภาพในการเบิกจ่าย และแสดงว่าจัดทำงบประมาณเกินจริงมากกว่า 60% นั่นคือความไม่โปร่งใสในการของบประมาณปี 2554 นี้
ประเด็นที่น่าสังเกต 2) ตามผลผลิตที่ 1 คือ มาตรฐานที่กำหนดและร่วมกำหนด ในปี 2553 ของบไว้ 105.2652 ล้านบาท แต่เบิกจ่ายจริงแล้วเพียง 47.6% และมีผลสัมฤทธิ์คือจำนวนเรื่องที่ดำเนินการทั้งหมด 830 เรื่อง แต่ในปี 2554 กลับของบประมาณเพิ่มเป็น 116.766 ล้านบาท เพิ่มขึ้นคิดเป็น 10.9% ในขณะที่เป้าหมาย คือจำนวนเรื่องที่ดำเนินการทั้งหมด 847 เรื่อง เป้าหมายเพิ่ม 2% แต่ของบเพิ่มถึง 10.9%
ประเด็นที่น่าสังเกต 3) ตามผลผลิตที่ 2 คือ ผู้ประกอบการได้รับการรับรองมาตรฐาน ในปี 2553 ของบไว้ 196.6723 ล้านบาท แต่เบิกจ่ายจริงแล้วเพียง 80.1654 ล้านบาท คิดเป็น 40.76% แต่ในปี 2554 ของบประมาณเพิ่มเป็น 470.4267 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 273.7544 ล้านบาท คิดเป็น 139.19% ในขณะที่เป้าหมายไม่ได้แตกต่างจากผลสัมฤทธิ์ แต่กลับของบเพิ่มขึ้นอย่างผิดสังเกต ซึ่งผลสัมฤทธิ์ที่ได้ตามรายงานจากเอกสารชี้แจง หน้า 19 เป็นการใช้งบประมาณเพียง 80.1654 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่าทำงบประมาณเกินจริงถึง 390.2613 ล้านบาท ชัดเจนในเรื่องความไม่โปร่งใสในการจัดทำงบประมาณ
ประเด็นที่น่าสังเกต 4) ในส่วนของงบภาระผูกพัน คือค่าใช้จ่ายในการเช่ายานพาหนะ หากจัดทำเป็นการซื้อเลยจะเสียค่าใช้จ่ายในระยะยาวต่ำกว่านี้มาก แสดงให้เห็นถึงการขาดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการที่ดี
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (ข้อมูลจากเอกสารงบประมาณฉบับที่ 3 เล่ม 9 หน้า 347 และ เอกสารชี้แจงของหน่วยงาน)
งบประมาณจาก 850.3608 ล้านบาท เป็น 963.168 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 112.8072 ล้านบาท เพิ่มขึ้นคิดเป็น 13.26% ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์และส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์
ประเด็นที่น่าสังเกต 1) งบประมาณปี 2552 ในส่วนของแผนการลงทุนในประเทศ ตั้งงบประมาณไว้ที่ 672.01 ล้านบาท แต่เบิกจ่ายจริงเพียง 535.46 ล้านบาท คิดเป็น 79.68% ในปี 2553 ตั้งงบประมาณไว้ที่ 850.36 ล้านบาท แต่เบิกจ่ายจริงเพียง 399.01 ล้านบาท(ณ 30 เม.ย. 2553) คิดเป็น 46.922% ซึ่งเหลือเวลาอีกเพียง 4 เดือน จะสิ้นสุดปีงบประมาณ คาดการณ์ว่าทำการเบิกจ่ายไม่ทันอย่างแน่นอน แต่กลับจัดทำงบประมาณปี 2554 เพิ่มขึ้นอีก จากงบปี 2553 ที่ยังเบิกจ่ายไม่ครบ ซึ่งหากคิดจากงบประมาณปี 2552 ที่เบิกจ่ายจริงจะพบว่ามีการตั้งงบประมาณปี 2554 ไว้สูงเกินจริงถึง 79.88%
สรุป
กระทรวงอุตสาหกรรมทำการจัดทำของบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554 เพิ่มขึ้นในทุกๆหน่วยงาน แต่ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการโครงการต่างๆในแต่ละหน่วยงาน ยังขาดประสิทธิภาพและประสิทธิผลอย่างชัดเจน แต่กลับของบประมาณเพิ่มสูงเกินจริงเฉลี่ยถึง 60% ซึ่งงบประมาณที่เพิ่มขึ้นนี้ รัฐบาลต้องทำการกู้ยืมเพื่อมาชดเชยการขาดดุล ทำให้ประเทศต้องเป็นหนี้อย่างไม่จำเป็น ดังนั้นหากจัดทำงบประมาณตามความเป็นจริงและมีความโปร่งใสก็จะไม่ต้องทำการกู้หนี้สาธารณะ ประชาชนก็จะไม่เป็นหนี้ที่ไม่สมเหตุผลอีกต่อไป