การประเมินผลการบริหารนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลปี2553/2554
ดร.เบญจวรรณ จันทระ
จากผลการประเมินนโยบายกู้เงิน ในโครงการแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ใน 5 โครงการ คือ
1. โครงการก่อสร้างถนนไร้ฝุ่น
2. โครงการแหล่งน้ำขนาดเล็ก
3. โครงการประกันรายได้เกษตรกร
4. โครงการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง
5. โครงการเพิ่มทุนสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ
ซึ่งมีผลการประเมินของ สศช. ชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวทั้ง 5 โครงการอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องของการบริหารจัดการโครงการ ที่ยังต้องมีการปรับปรุงให้ตอบสนองความ
ต้องการของประชาชนในพื้นที่โครงการไห้เกิดมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล รวมทั้งเปิดโอกาสให้ประชาคมมีส่วนร่วมในการกำกับ ดูแล และตรวจสอบการดำเนินโครงการได้ อีกทั้งการดำเนินโครงการขาดกลไกและกระบวนการที่จะขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญขาดการเข้าถึงและใช้บริการ ที่รัฐจัดให้ยังไม่เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน
ดังนั้น การกู้เงิน 400,000 ล้านบาท ในปี 2553 ไม่ก่อให้เกิดผลผลิตเพิ่มในประเทศ ไม่เกิดการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นอย่างที่รัฐบาลอ้าง แต่ทำให้ประเทศเป็นหนี้จริงเพิ่มขึ้น ซ้ำยังเกิดการทุจริตในโครงการของรัฐอย่างมากมายแต่ไม่มีการตรวจสอบ
สดงให้เห็นว่าคณะผู้บริหารของประเทศ จัดทำโครงการต่างๆอย่างไม่รอบคอบ ไม่มีการประเมินผลกระทบด้านการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการจ้าง ว่ามีความคุ้มค่าอย่างไร
นอกจากนี้คณะรัฐบมนตรีได้รับทราบผลการประเมินจาก สศช.ไปแล้วในวันอังคารที่ 8 มีนาคม 2554 และยังรับทราบปัญหาจากการอภิปรายผลการทำงานของรัฐในรอบ 1 ปี (2552-2553) ว่ามีประเด็นที่ยังคงเป็นปัญหาค้างคาทั้งเรื่อง
• เหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง
• วิกีลิกส์นำบทสนทนาของบุคคลระดับสูงของไทย 3 คนที่สนทนากับเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยในลักษณะเข้าข่ายประทุษร้ายต่อองค์รัชทายาทและมีผู้เข้าชมเว็บไซต์ดังกล่าวเป็นจำนวนมาก แต่ปรากฏว่าไม่มีการดำเนินการใด ๆ
• การทุจริตในการดำเนินโครงการต่าง ๆ และละเลยในการแก้ปัญหาการทุจริต
• ปัญหาสินค้าราคาแพง
ซึ่งเมื่อครม. รับทราบแล้ว ควรต้องดำเนินการแก้ไข แต่ปรากฎว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศ ซึ่งเป็นความเดือดร้อนของประชาชน และรัฐบาลรับทราบ แต่ไม่มีแนวทางการแก้ปัญหา กลับมีความจงใจปล่อยให้ปัญหาทวีความรุนแรงขึ้น เช่น ปล่อยให้สินค้าบางตัวขาดแคลน และจงใจทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้น เพื่อหวังเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งรัฐบาลไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง การที่อ้างได้ว่าสามารถเก็บภาษีได้มากขึ้น เพื่อนำไปออกงบเงินกู้กลางปี 100,000 บาท จึงเป็นการสร้างภาระทางการคลังของประเทศและสร้างภาระให้ประชาชนมากยิ่งขึ้น
ที่ชัดเจนคือเรื่องของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศที่วันนี้ รัฐบาล เก็บเงินเข้ารัฐสูงสุดถึงลิตรละ 18.5 กล่าวคือ ราคาน้ำมันเบนซิน 95 ที่วันนี้ราคาขายปลีกในประเทศอยู่ที่ลิตรละ 46.94 บาท แต่หากมองดูต้นทุนบวกค่าการตลาดพบว่ามีราคาอยู่ที่ 28.41 บาทต่อลิตร ที่เหลือคือเงินที่เข้ารัฐ หรือแม้แต่แก๊สโซฮอลย์ 95 ที่มีผู้ใช้มากที่สุด เงินที่เข้ารัฐก็สูงถึงลิตรละ 12 บาท จึงทำให้วันนี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขูดรีดเงินจากประชาชนผ่านภาษีน้ำมันและกองทุนน้ำมันฯ สูงถึงปีละ 70,000 ล้านบาท ดังตาราง
ในขณะที่บทสรุปของนโยบายประกันรายได้ คือชาวนายกจนลง การที่รัฐประกันรายได้
ข้าวขาว 5% ที่ 11,000 บาทต่อตัน ณ ราคาอ้างอิง 8,871 บาทต่อตัน แต่ชาวนาขายข้าวได้จริงเพียงตันละ 6,000 บาทเท่านั้น
ขณะที่ในปี 2551 ที่มีการรับจำนำราคาข้าวที่เกษตรกรเคยขายได้สูงสุดที่ 16,000 บาทต่อตัน
และวันนี้ประชาชนคนไทยต้องซื้อข้าวสารขาว 5% สูงถึงตันละ 26,866 บาท รัฐบาลชุดนี้ใช้งบประมาณในนโยบายประกันรายได้ถึงปีละ 50,000 ล้านบาท
ในขณะที่โครงการรับจำนำในอดีต ใช้งบประมาณเพียงปี 28,000 ล้านบาท และยังมีรายได้
กลับเข้ารัฐอีกจากการขายข้าวที่รับจำนำ
ทั้งผลการประเมินของสศช. และข้อมูลจากส่วนต่างๆซึ่งเป็นรายงานของหน่วยงานภาครัฐ รวมถึงการเรียกร้องของเกษตรกร น่าจะเป็นเสียงสะท้อนอย่างดีให้รัฐบาลหันมาฉุกคิดและปรับเปลี่ยนการบริหารบ้านเมืองให้มีความรอบคอบ และใช้ความรู้ความสามารถเพื่อประชาชนคนไทยที่ต่างรอคอยให้เศรษฐกิจทั้งของตนเองและของประเทศดีขึ้นอย่างแท้จริง มิใช่แค่ภาพลวงตาเหมือนที่ผ่านมา.